2021 AHA/ACC/ASE/CHEST/SAEM/SCCT/SCMR Guideline for the Evaluation and Diagnosis of Chest Pain

Education Articles
นพ.ทินกฤต ศศิประภา
โรงพยาบาลรามาธิบดี
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

  1. อาการเจ็บหน้าอก (chest pain) ที่ผู้ป่วยบรรยายนั้นมีได้หลายรูปแบบและแต่ละแบบนั้นก็มีความน่าจะเป็นที่จะบ่งชี้เรื่องกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไม่เท่ากันดังแผนภาพที่ 1 ใน Guideline นี้ได้เปลี่ยนคำที่ใช้ระบุการคำวินิจฉัยตามความน่าจะเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้แก่ Cardiac, possibly cardiac และ noncardiac chest pain ตามลำดับ และให้งดการใช้ typical และ atypical เพื่อลดความสับสนที่เกิดขึ้น

 

แผนภาพที่ 1 แสดงความน่าจะเป็นการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากลักษณะอาการเจ็บหน้าอก

 

2. อาการเจ็บหน้าอกสามารถแบ่งได้เป็น Acute chest pain และ Stable chest pain โดยเน้นย้ำความสำคัญในการแยกทั้งสองภาวะออกจากกัน เนื่องจากความเร่งด่วนและแนวทางการวินิจฉัยต่างกัน โดย
Acute chest pain คือ อาการเจ็บหน้าอกที่มีอาการขึ้นมาใหม่เป็นครั้งแรก (new onset) หรือ เคยเป็นมาก่อนและครั้งนี้อาการเปลี่ยนไปจากเดิมทั้ง ลักษณะ(pattern) ความรุนแรง(intensity) และ ระยะเวลาที่เจ็บหน้าอก(duration)

 

3. อาการเจ็บหน้าอกเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มาด้วย Acute coronary syndrome ทั้งเพศหญิงและชาย แต่ ผู้ป่วยเพศหญิงมีแนวโน้มจะมีอาการอื่นๆร่วมด้วยมากกว่า เช่น เหนื่อยหอบ คลื่นไส้ ใจสั่น และอาจจะไม่มีอาการเจ็บหน้าอกก็ได้ โดยเฉพาะ ผู้ป่วยเพศหญิง อายุมาก และมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน

 

4. แนะนำให้คำแนะนำแก่ประชาชน หากมีอาการเจ็บหน้าอกฉับพลัน ให้เรียกรถพยาบาลไปรับมากกว่าการที่จะให้ผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลด้วยตนเอง เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่มี acute chest pain 1 ใน 300 รายมี cardiac arrest ระหว่างที่เดินทางมาห้องฉุกเฉินด้วยตนเอง

 

5. ในผู้ป่วย Acute chest pain หากต้องการส่งตรวจ cardiac enzyme แนะนำให้ส่งตรวจ high sensitivity Troponin T หรือ I มากกว่าการส่ง conventional Troponin และไม่แนะนำให้ส่งตรวจ CK-MB และ myoglobin อีกต่อไป

 

6. แนะนำให้แต่ละโรงพยาบาลใช้ Clinical Decision pathway ทั้งในผู้ป่วย stable chest pain และ acute chest pain และ แนะนำให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการวางแผนการรักษาและตรวจเพิ่มเติมเพื่อลดโอกาสการฟ้องร้องที่อาจเกิดขึ้นได้

 

7. คำนิยาม coronary artery disease ใน Guideline

 

8. แนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มาด้วยอาการเจ็บหน้าอก

8.1 Acute chest pain จากแผนภาพที่ 2 ด้านล่างในผู้ป่วยที่มาด้วยอาการ Acute chest pain ควรได้รับการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และ EKG ทุกราย จากนั้นหากสงสัย Noncardiac cause หรือ non-ischemic cardiac cause ให้ส่งตรวจและรักษาต่อตามโรคนั้นๆ แต่หากสงสัยภาวะ Acute coronary syndrome ให้ทำตามแนวทาง Clinical decision pathway เพื่อแยกโรคต่อ โดยใน Guideline มีเครื่องมือและแนวทางที่หลากหลาย อาทิเช่น Heart Pathway, EDACS, ADAPT,NORT,2020 ESC/hr-cTn และ 2016 ESC/GRACE

 

แผนภาพที่ 2 แสดงแนวทางวินิจฉัยผู้ป่วยที่มาด้วยอาการ Acute chest pain

 

ในกลุ่ม High risk ควรส่งทำ invasive angiography และ low risk ไม่จำเป็นต้องส่งตรวจเพิ่มเติม แต่ในกลุ่ม intermediate risk นั้นให้ประเมินต่อว่าผู้ป่วยเป็น Known CAD หรือไม่  ซึ่งการ approach นี้เป็นแนวทางใหม่ที่เขียนใน Guideline ฉบับนี้เป็นครั้งแรก

      • Known CAD (แผนภาพที่3)
        • High risk CAD หรือ frequent angina > แนะนำทำ invasive coronary angiogram
        • Obstructive CAD > แนะนำตรวจ stress testing (ไม่รวม Exercise stress testing)
        • Non-obstructive CAD > สามารถส่ง CCTA หรือ Stress testing ก็ได้ และหาก CTA มีลักษณะ Obstructive CAD แนะนำให้ทำ CT-FFR หรือ Stress testing ซึ่งคำแนะนำในการส่ง CT-FFR ถูกบรรจุใน Guideline นี้เป็นครั้งแรก

 

แผนภาพที่ 3 แนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มาด้วย Acute chest pain ที่เป็น intermediate risk โดยที่เคยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมาก่อน (Known CAD)

 

      • No Known CAD (แผนภาพที่ 4) โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยที่เคยตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค CAD มาก่อนหรือไม่

1. หากเคยตรวจมาก่อน ให้พิจารณาว่าผลตรวจนั้น

          • Negative stress ได้แก่
            • CCTA หรือ CAG normal without stenosis or plaque
            • Stress testing normal โดยที่ต้องเป็น adequate testing

หากเข้าได้ในกลุ่มนี้ สามารถ Discharge ผู้ป่วยได้หากยังอยู่ใน Warranty Period” ได้แก่ ภายใน 2 ปีหลัง CCTA หรือ CAG และ 1 ปีหลัง stress testing

          • Inconclusive or mildly abnormal แนะนำให้ตรวจ CCTA
          • Moderate to severe abnormal แนะนำให้ตรวจ invasive coronary angiogram

2. ไม่เคยมีการตรวจมาก่อน ในกลุ่มนี้สามารถส่งตรวจ CCTA หรือ Stress testing ก็ได้ (จะสังเกตว่ารวมการตรวจ EST ซึ่งแตกต่างกับ กลุ่มที่เคยเป็น Known CAD)

แผนภาพที่ 4 แนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มาด้วย Acute chest pain ที่เป็น intermediate risk โดยที่ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมาก่อน (No Known CAD)

 

8.2 Stable chest pain สามารถแบ่งแนวทางการรักษาผู้ป่วยดังนี้

      • Known CAD > ในกลุ่มนี้เบื้องต้นใน Guideline จะแนะนำให้พยายามให้การรักษาด้วยยาให้เต็มที่ก่อนเพื่อที่จะลดการส่งไปทำการตรวจและการรักษาอื่นๆ โดยแบ่งแนวทางการรักษาตามคำวินิจฉัยเดิมของผู้ป่วยได้แก่
        • Non-obstructive CAD แนะนำให้ทำ CT-FFR หรือ stress testing เพื่อยืนยัน ischemia อีกครั้ง โดยหาก CT-FFR ≤ 0.8 หรือ moderate to severe ischemia จาก stress testing จึงพิจารณาส่งทำ Invasive coronary angiography ต่อ
        • Obstructive CAD
          • High risk CAD หรือ Frequent angina แนะนำ invasive coronary angiogram
          • Non-high risk CAD แนะนำให้ทำ stress testing อีกครั้ง หากยืนยัน Moderate to severe ischemia จึงส่งทำ invasive coronary angiography ต่อ
แผนภาพที่ 5 แนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มาด้วย Stable chest เคยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมาก่อน (Known CAD)

 

      • No Known CAD > เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังไม่แน่ใจคำวินิจฉัย จึงต้องมีการส่งตรวจเพื่อยืนยัน CAD โดยประเมินจาก risk ตามตารางที่ 1 ด้านล่างโดยใน guideline นี้ได้นำ Coronary Calcium score(CAC) ร่วมด้วยเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงทำการส่งตรวจต่อ โดยหากเป็น low risk ไม่จำเป็นต้องส่งตรวจต่อ แต่อาจพิจารณาทำ CAC หรือ EST ต่อได้ แต่หากเป็น intermediate to high risk จึงส่ง CCTA หรือ Stress testing ต่อตามแผนภาพที่ 6
ตารางที่ 1. แสดง Pretest probability ของการเกิด Obstructive CAD

 

แผนภาพที่ 6 แนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มาด้วย Stable chest เคยไม่เคยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมาก่อน (No Known CAD)

 

9. INOCA (Ischemia and no obstructive coronary artery disease) ใน Guideline นี้มีการกล่าวถึงแนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกที่เป็น Cardiac chest pain ตรวจ stress testing พบลักษณะของ ischemia แต่ตรวจ invasive coronary angiogram เป็น non-obstructive CAD และ/หรือ FFR ≥ 0.8 โดยให้สงสัยภาวะ vasospastic angina และ coronary microvascular dysfunction(CMD) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ DM, HT, LVH, Small coronary vessel size และ infiltrative heart disease สามารถทำการส่งตรวจเพื่อการวินิจฉัยว่า CMD ได้จาก(แผนภาพที่ 7)

            – Invasive coronary function test : IMR ≥ 25 หรือ CFR ≤ 2

            – Stress test : reduced Myocardial blood flow reserve (MBFR) จาก PET/CMR หรือ abnormal coronary flow velocity reserve ใน left anterior descending artery (LAD) ≤ 2 จาก stress Echocardiogram

 

แผนภาพที่ 7 แนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยที่สงสัยภาวะ INOCA

 

 

บทความโดย
นพ.ทินกฤต ศศิประภา

 

Reference:
Gulati, M., et al. (2021). “2021 AHA/ACC/ASE/CHEST/SAEM/SCCT/SCMR Guideline for the Evaluation and Diagnosis of Chest Pain: A Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Joint Committee on Clinical Practice Guidelines.” Circulation 144(22): e368-e454.